สมัครสมาชิกวารสาร

1500 บาทต่อปี

1 ปี มี 6 ฉบับ
ฉบับ: มกราคม - กุมภาพันธ์
ฉบับ: มีนาคม - เมษายน
ฉบับ: พฤษภาคม - มิถุนายน
ฉบับ: กรกฏาคม - สิงหาคม
ฉบับ: กันยายน - ตุลาคม
ฉบับ: พฤศจิกายน - ธันวาคม

ดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในเอเชียและโอเชียเนีย ปี 2020 - 2021

♦ ดัชนี DI สะท้อนความเชื่อมั่นของธุรกิจในการทำกำไร ปี 2020 บริษัทญี่ปุ่นในเอเชียและโอเชียเนียติดลบทุกประเทศ
♦  คาดการณ์ดัชนี DI ปี 2021 เผยบริษัทญี่ปุ่นใน 3 ประเทศ อินเดีย-อินโดนีเซีย-ปากีสถาน เชื่อมั่นสูงสุด
♦ 3 อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายการลงทุนสูงสุดในช่วงปี 2021 - 2023 คือ แปรรูปอาหาร, ยาและเคมีภัณฑ์, และพลาสติก 

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2021 องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร (JETRO) ได้เผยผลสำรวจภาวะธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในต่างประเทศ ฉบับเอเชียและโอเชียเนีย ประจำปี 2020 หรือดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจ (Diffusion Index) ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของธุรกิจในการทำกำไรจากการดำเนินงาน โดยพบว่า ในปี 2020 ดัชนี DI ติดลบทุกประเทศเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มเก็บสถิติในปี 1987 สืบเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 และสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลต่อยอดขายสินค้าในประเทศ และสินค้าส่งออกของธุรกิจญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก

ดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในไทย ต่ำสุดอันดับ 2 อาเซียน

รายงานฉบับนี้ มีบริษัทญี่ปุ่นตอบแบบสอบถามจำนวน 5,976 บริษัท แบ่งเป็นภาคอุตสาหกรรมการผลิต 2,621 บริษัท และอุตสาหกรรมอื่น ๆ 3,355 บริษัท โดยมีรายละเอียดดังนี้

ดัชนี DI ของบริษัทญี่ปุ่นในเอเชียและโอเชียเนีย ปี 2020-2021

ในปี 2020 ที่ผ่านมานี้ การระบาดของโควิดทั่วโลก เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ดัชนี DI ของบริษัทญี่ปุ่นในเอเชียและโอเชียเนียลดลงเป็นอย่างมาก โดยปี 2020 มีประเทศที่ดัชนี DI ดีที่สุด 5 อันดับแรก ดังนี้

  1. ไต้หวันเป็นประเทศที่มีสัดส่วนบริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่ทำกำไรได้สูงสุด
  2. ปากีสถานเป็นประเทศที่มีการปรับเปลี่ยนมาทำงานแบบ Work from Home อย่างรวดเร็ว 
  3. จีนยังติดอันดับเนื่องจากควบคุมการระบาดได้ดี รวดเร็ว และมีบริษัทญี่ปุ่นทำกำไรได้มากกว่าครึ่ง
  4. ลาวสืบเนื่องจากมีต้นทุนการผลิต และต้นทุนวัสดุต่ำกว่าการผลิตในญี่ปุ่นเกือบ 50%
  5. เมียนมาเนื่องจากบริษัทญี่ปุ่นมีแผนขยายธุรกิจมาก และมีอัตราการเพิ่มขึ้นตลอดปี 2020

ในทางกลับกัน อินโดนีเซียซึ่งมีดัชนี DI ต่ำสุด เป็นผลจากความล้มเหลวในการควบคุมโรค และยอดขายสินค้าในประเทศที่ลดลง ส่วนไทยก็มียอดขายสินค้าในประเทศลดลงมากจนมีดัชนี DI ต่ำสุดติดอันดับสอง ส่วนฟิลิปปินส์มีสาเหตุจากการลดลงของยอดส่งออกในปีที่แล้ว

ส่วนปี 2021 มีประเทศที่คาดการณ์ว่าจะมีดัชนี DI ดีที่สุด 5 อันดับแรก ดังนี้

  1. อินเดียเนื่องจากมีบริษัทญี่ปุ่นมากถึง 2% ที่มีแผนขยายธุรกิจในอินเดียอยู่แล้ว
  2. อินโดนีเซียคาดการณ์ว่าจะมียอดขายสินค้าญี่ปุ่นในอินโดนีเซียสูงขึ้น
  3. ปากีสถานเนื่องจากเล็งเห็นว่ามีศักยภาพการเติบโตสูง
  4. มาเลเซียเนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของสินค้าส่งออก
  5. ฟิลิปปินส์เนื่องจากบริษัทญี่ปุ่นในฟิลิปปินส์มีแผนขยายธุรกิจสูงเช่นเดียวกับอินเดีย

แนวโน้มบริษัทญี่ปุ่นในเอเชียและโอเชียเนีย ปี 2021

รายงานของเจโทรเปิดเผยว่า 80% ของธุรกิจญี่ปุ่นคาดการณ์ว่าสถานการณ์ทางธุรกิจจะกลับมาเทียบเท่าก่อนการระบาดของโควิดได้ภายในช่วงท้ายปี 2021 และบริษัทญี่ปุ่นในจีนมากถึง 67.2% คาดการณ์ว่าจะกลับมาเทียบเท่าก่อนโควิดภายในครึ่งแรกของปีนี้ 

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ จะยังไม่หมดไป โดยคาดการณ์ว่ากลุ่มประเทศที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดคือเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งบริษัทญี่ปุ่นในฮ่องกงคาดว่าจะได้รับผลกะทบทางลบมากที่สุด ตามด้วยจีน และเกาหลีใต้

ออสเตรเลีย เป็นอีกประเทศที่บริษัทญี่ปุ่นคาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบรุนแรง สืบเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างจีนและออสเตรเลียที่ย่ำแย่ลงตั้งแต่ปี 2019 โดยมีบริษัทที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบรุนแรง 31.7% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2019 เกือบสองเท่า

ในทางกลับกัน ประเทศที่คาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบในทางบวกสูงสุดคือเวียดนาม ตามด้วยบังกลาเทศ และอินเดียตามลำดับ สืบเนื่องจากการย้ายฐานการผลิตของบริษัทญี่ปุ่นออกจากประเทศจีน ในขณะที่อินเดียยังไม่มีการบ้ายฐานผลิตมากนัก แต่พฤติกรรมผู้บริโภคในอินเดียจะหันมาบริโภคสินค้าญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและจีนที่ย่ำแย่จากข้อพิพาทพรมแดนจีน-อินเดีย

แผนขยายธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในเอเชียและโอเชียเนีย ในช่วงเวลา 1-2 ปีข้างหน้า 

บริษัทญี่ปุ่นในเอเชีย และโอเชียเนีย มีแนวโน้มการขยายธุรกิจต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1987 โดยมีปัจจัยมาจากความไม่แน่นอนของโควิดและสงครามการค้า โดยประเทศที่มีแนวโน้มขยายธุรกิจสูงสุดคือปากีสถาน ตามด้วยอินเดีย และเมียนมา เนื่องจากมีศักยภาพในการเติบโตสูง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของเมียนมาในปัจจุบันอาจทำให้แนวโน้มนี้เปลี่ยนไป

  • อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร 6%
  • อุตสาหกรรมยา และเคมีภัณฑ์ 5%
  • อุตสาหกรรมพลาสติก 7%
  • อุตสาหกรรม Precisions Machinery และเครื่องมือแพทย์ 5%
  • อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และ Electrical Machinery 36.7%
  • อุตสาหกรรมกระดาษ สิ่งพิมพ์ และผลิตภัณฑ์จากไม้ 3%
  • อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลทั่วไป 6%
  • อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 6%
  • อุตสาหกรรมโลหะการ 0%
  • อุตสาหกรรมยานยนต์ 8%
  • อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ 6%
  • อุตสาหกรรมยาง เซรามิก และหิน 6%
  • อุตสาหกรรมสิ่งทอ 6%

ที่มา : M Report
https://www.mreport.co.th/news/statistic-and-ranking/220-JETRO-Survey-on-Japanese-Companies-in-Asia-Oceanea-2020-2021?utm_source=line

บจก.สยามบราเดอร์
บจก.สยามบราเดอร์
บจก.ศตวรรษพลาสติก
บจก.ศตวรรษพลาสติก
เราเป็นผู้จำหน่ายเม็ดพลาสติก
บจก.เทพวิจิตรอุตสาหกรรม
บจก.เทพวิจิตรอุตสาหกรรม
บจก.เกรียงไทยพลาสเท็ค
บจก.เกรียงไทยพลาสเท็ค
บจก.วัลย์ดีพาณิชย์อุตสาหกรรม
บจก.สุขเจริญเทรดดิ้ง
บจก.สุขเจริญเทรดดิ้ง
บจก.โรงงานทอผ้าใบไนล่อนชัยศิริ
บจก.โรงงานทอผ้าใบไนล่อนชัยศิริ
บจก.โปลิโฟมอุตสาหกรรม
บจก.โปลิโฟมอุตสาหกรรม
บจก.ไทยเพ็ทอุตสาหกรรม
บมจ.ทานตะวันอุตสาหกรรม
บจก.ไทย-เอเซีย พี.อี. ไพ้พ์
บจก.ไทย-เอเซีย พี.อี. ไพ้พ์
บจก.แปรงไทยแห่งแรก
บจก.ไทยโรตารี่พลาสติก
บจก.ไทยโรตารี่พลาสติก
บจก.กรีนพลาสติกแอนด์เคมีคัล ผู้จำหน่ายเม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์
พระคุณท่าน
พระคุณท่าน
Credit: Free Joomla! templates by Engine Templates, Modified by KPPM